ปัญหาเรื่องความเข้ากันได้ของส่วนเสริมหรือ add-ons เป็นปัญหาของ Firefox มาโดยตลอด และยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อเปลี่ยนมาใช้ระบบการออกรุ่นทุก 6 สัปดาห์
นอกจากนี้ การออกรุ่นบ่อยๆ ยังทำให้เราต้องรัน auto-update บ่อยตามไปด้วย ซึ่งปัญหา (โดยเฉพาะกรณีของวินโดวส์) คือผู้ใช้จะเจอหน้าจอ UAC ทุกครั้งเมื่อ Firefox ออกรุ่นใหม่ (ยิ่งถ้าใครใช้ Aurora แบบผมจะเจอแทบทุกวัน) ทาง Mozilla จึงเสนอทางแก้ 2 ปัญหาข้างต้น ด้วยนโยบายใหม่ 2 ข้อ
ความเข้ากันได้ของส่วนเสริม
เดิมทีนโยบายของ Mozilla ต่อ "ส่วนเสริม" ว่าใช้กับ Firefox รุ่นใดได้บ้าง ยึดหลักว่า "ส่วนเสริมจะไม่สามารถทำงานได้ จนกว่าจะพิสูจน์แล้วว่าเข้ากันได้กับ Firefox รุ่นปัจจุบัน" ซึ่งเป็นสมมติฐานที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม และไม่ตรงกับความเป็นจริงนักเพราะมีส่วนเสริมจำนวนมากที่เพียงแค่แก้เลขเวอร์ชันก็ทำงานได้แล้ว
นโยบายใหม่ของ Mozilla คือสแกนไฟล์ของ add-on ทุกตัวที่ฝากเอาไว้บนเว็บไซต์ addons.mozilla.org ให้ ถ้าไม่พบปัญหากับ Firefox รุ่นที่ออกใหม่ ก็จะปรับข้อมูลเลขเวอร์ชันที่ใช้ได้โดยอัตโนมัติ
ตอนนี้ Mozilla เริ่มดำเนินการแล้วกับ Firefox Aurora และอีเมลแจ้งนักพัฒนาถึงปัญหาที่พบจากการสแกน โดยตัวเลขตอนนี้คือ 99% ของ add-ons ใน Firefox 6 สามารถใช้กับ Firefox 7 ได้
อย่างไรก็ตาม นโยบายใหม่นี้ยังมีข้อจำกัดว่าใช้ได้กับไฟล์ที่ฝากไว้บน addons.mozilla.org เท่านั้น และยังไม่สามารถตรวจสอบ add-ons ที่ฝังไฟล์ไบนารีได้ (ซึ่งเป็นส่วนน้อยของ add-ons ทั้งหมด) ซึ่งทาง Mozilla จะแก้ไขต่อไป
วิธีการอัพเดต
ประเด็นที่สองคือวิธีการอัพเดต ซึ่งปัจจุบันมีปัญหาว่าติด UAC ของวินโดวส์ ทำให้ต้องสั่งกดยอมรับทุกครั้ง
ทางแก้ของ Firefox จึงเปลี่ยนมาใช้ระบบ silent update ลักษณะเดียวกับ Chrome เพียงแต่กรรมวิธีทางเทคนิคจะต่างออกไป
กรณีของ Chrome จะเขียนไฟล์ในโฟลเดอร์ของผู้ใช้ แทนโฟลเดอร์ของระบบ ทำให้ไม่ต้องผ่าน UAC แต่ Firefox มองว่าวิธีนี้มีปัญหากับการดูแลระบบ (โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ขององค์กรที่ต้องปรับรุ่นพร้อมกันทีเดียวทุกเครื่อง)
Firefox เลือกใช้วิธีอื่นคือสร้างเซอร์วิสของวินโดวส์มาทำงานแทน โดยจะรันอยู่เบื้องหลังในฐานะเซอร์วิสอีกตัวหนึ่ง และทำการอัพเดต Firefox ให้
Firefox บอกว่าเซอร์วิสตัวนี้ (ชื่อของมันคือ Mozilla Application Updater) จะเป็นองค์ประกอบที่ไม่บังคับว่าต้องใช้ (optional) ดังนั้นถ้าหากผู้ใช้เลือกปิดมันไป Firefox จะยังสามารถอัพเดตด้วยวิธีเดิม (ที่ต้องผ่าน UAC) ได้
นอกจากนี้ คนที่ลง Firefox หลาย channel ควบคู่กัน (เช่น Beta/Aurora) ก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเซอร์วิสจะเยอะจนเปลืองทรัพยากร เพราะใช้เซอร์วิสตัวเดียวกันได้หมดทุก channel
กระบวนการอัพเดตแบบใหม่จะเสร็จประมาณต้นปี 2012 หรือใช้กับ Firefox 10 เป็นรุ่นแรก
ข้อมูลจาก : blognone.com
นอกจากนี้ การออกรุ่นบ่อยๆ ยังทำให้เราต้องรัน auto-update บ่อยตามไปด้วย ซึ่งปัญหา (โดยเฉพาะกรณีของวินโดวส์) คือผู้ใช้จะเจอหน้าจอ UAC ทุกครั้งเมื่อ Firefox ออกรุ่นใหม่ (ยิ่งถ้าใครใช้ Aurora แบบผมจะเจอแทบทุกวัน) ทาง Mozilla จึงเสนอทางแก้ 2 ปัญหาข้างต้น ด้วยนโยบายใหม่ 2 ข้อ
ความเข้ากันได้ของส่วนเสริม
เดิมทีนโยบายของ Mozilla ต่อ "ส่วนเสริม" ว่าใช้กับ Firefox รุ่นใดได้บ้าง ยึดหลักว่า "ส่วนเสริมจะไม่สามารถทำงานได้ จนกว่าจะพิสูจน์แล้วว่าเข้ากันได้กับ Firefox รุ่นปัจจุบัน" ซึ่งเป็นสมมติฐานที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม และไม่ตรงกับความเป็นจริงนักเพราะมีส่วนเสริมจำนวนมากที่เพียงแค่แก้เลขเวอร์ชันก็ทำงานได้แล้ว
นโยบายใหม่ของ Mozilla คือสแกนไฟล์ของ add-on ทุกตัวที่ฝากเอาไว้บนเว็บไซต์ addons.mozilla.org ให้ ถ้าไม่พบปัญหากับ Firefox รุ่นที่ออกใหม่ ก็จะปรับข้อมูลเลขเวอร์ชันที่ใช้ได้โดยอัตโนมัติ
ตอนนี้ Mozilla เริ่มดำเนินการแล้วกับ Firefox Aurora และอีเมลแจ้งนักพัฒนาถึงปัญหาที่พบจากการสแกน โดยตัวเลขตอนนี้คือ 99% ของ add-ons ใน Firefox 6 สามารถใช้กับ Firefox 7 ได้
อย่างไรก็ตาม นโยบายใหม่นี้ยังมีข้อจำกัดว่าใช้ได้กับไฟล์ที่ฝากไว้บน addons.mozilla.org เท่านั้น และยังไม่สามารถตรวจสอบ add-ons ที่ฝังไฟล์ไบนารีได้ (ซึ่งเป็นส่วนน้อยของ add-ons ทั้งหมด) ซึ่งทาง Mozilla จะแก้ไขต่อไป
วิธีการอัพเดต
ประเด็นที่สองคือวิธีการอัพเดต ซึ่งปัจจุบันมีปัญหาว่าติด UAC ของวินโดวส์ ทำให้ต้องสั่งกดยอมรับทุกครั้ง
ทางแก้ของ Firefox จึงเปลี่ยนมาใช้ระบบ silent update ลักษณะเดียวกับ Chrome เพียงแต่กรรมวิธีทางเทคนิคจะต่างออกไป
กรณีของ Chrome จะเขียนไฟล์ในโฟลเดอร์ของผู้ใช้ แทนโฟลเดอร์ของระบบ ทำให้ไม่ต้องผ่าน UAC แต่ Firefox มองว่าวิธีนี้มีปัญหากับการดูแลระบบ (โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ขององค์กรที่ต้องปรับรุ่นพร้อมกันทีเดียวทุกเครื่อง)
Firefox เลือกใช้วิธีอื่นคือสร้างเซอร์วิสของวินโดวส์มาทำงานแทน โดยจะรันอยู่เบื้องหลังในฐานะเซอร์วิสอีกตัวหนึ่ง และทำการอัพเดต Firefox ให้
Firefox บอกว่าเซอร์วิสตัวนี้ (ชื่อของมันคือ Mozilla Application Updater) จะเป็นองค์ประกอบที่ไม่บังคับว่าต้องใช้ (optional) ดังนั้นถ้าหากผู้ใช้เลือกปิดมันไป Firefox จะยังสามารถอัพเดตด้วยวิธีเดิม (ที่ต้องผ่าน UAC) ได้
นอกจากนี้ คนที่ลง Firefox หลาย channel ควบคู่กัน (เช่น Beta/Aurora) ก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเซอร์วิสจะเยอะจนเปลืองทรัพยากร เพราะใช้เซอร์วิสตัวเดียวกันได้หมดทุก channel
กระบวนการอัพเดตแบบใหม่จะเสร็จประมาณต้นปี 2012 หรือใช้กับ Firefox 10 เป็นรุ่นแรก
ข้อมูลจาก : blognone.com