2/19/2556

Firefox เตรียมแก้ปัญหาเรื่องความเข้ากันได้ของส่วนเสริม-วิธีการอัพเดต

|0 ความคิดเห็น
ปัญหาเรื่องความเข้ากันได้ของส่วนเสริมหรือ add-ons เป็นปัญหาของ Firefox มาโดยตลอด และยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อเปลี่ยนมาใช้ระบบการออกรุ่นทุก 6 สัปดาห์ 

Firefox

นอกจากนี้ การออกรุ่นบ่อยๆ ยังทำให้เราต้องรัน auto-update บ่อยตามไปด้วย ซึ่งปัญหา (โดยเฉพาะกรณีของวินโดวส์) คือผู้ใช้จะเจอหน้าจอ UAC ทุกครั้งเมื่อ Firefox ออกรุ่นใหม่ (ยิ่งถ้าใครใช้ Aurora แบบผมจะเจอแทบทุกวัน) ทาง Mozilla จึงเสนอทางแก้ 2 ปัญหาข้างต้น ด้วยนโยบายใหม่ 2 ข้อ

ความเข้ากันได้ของส่วนเสริม 
เดิมทีนโยบายของ Mozilla ต่อ "ส่วนเสริม" ว่าใช้กับ Firefox รุ่นใดได้บ้าง ยึดหลักว่า "ส่วนเสริมจะไม่สามารถทำงานได้ จนกว่าจะพิสูจน์แล้วว่าเข้ากันได้กับ Firefox รุ่นปัจจุบัน" ซึ่งเป็นสมมติฐานที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม และไม่ตรงกับความเป็นจริงนักเพราะมีส่วนเสริมจำนวนมากที่เพียงแค่แก้เลขเวอร์ชันก็ทำงานได้แล้ว

นโยบายใหม่ของ Mozilla คือสแกนไฟล์ของ add-on ทุกตัวที่ฝากเอาไว้บนเว็บไซต์ addons.mozilla.org ให้ ถ้าไม่พบปัญหากับ Firefox รุ่นที่ออกใหม่ ก็จะปรับข้อมูลเลขเวอร์ชันที่ใช้ได้โดยอัตโนมัติ

ตอนนี้ Mozilla เริ่มดำเนินการแล้วกับ Firefox Aurora และอีเมลแจ้งนักพัฒนาถึงปัญหาที่พบจากการสแกน โดยตัวเลขตอนนี้คือ 99% ของ add-ons ใน Firefox 6 สามารถใช้กับ Firefox 7 ได้

อย่างไรก็ตาม นโยบายใหม่นี้ยังมีข้อจำกัดว่าใช้ได้กับไฟล์ที่ฝากไว้บน addons.mozilla.org เท่านั้น และยังไม่สามารถตรวจสอบ add-ons ที่ฝังไฟล์ไบนารีได้ (ซึ่งเป็นส่วนน้อยของ add-ons ทั้งหมด) ซึ่งทาง Mozilla จะแก้ไขต่อไป

วิธีการอัพเดต
ประเด็นที่สองคือวิธีการอัพเดต ซึ่งปัจจุบันมีปัญหาว่าติด UAC ของวินโดวส์ ทำให้ต้องสั่งกดยอมรับทุกครั้ง

ทางแก้ของ Firefox จึงเปลี่ยนมาใช้ระบบ silent update ลักษณะเดียวกับ Chrome เพียงแต่กรรมวิธีทางเทคนิคจะต่างออกไป

กรณีของ Chrome จะเขียนไฟล์ในโฟลเดอร์ของผู้ใช้ แทนโฟลเดอร์ของระบบ ทำให้ไม่ต้องผ่าน UAC แต่ Firefox มองว่าวิธีนี้มีปัญหากับการดูแลระบบ (โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ขององค์กรที่ต้องปรับรุ่นพร้อมกันทีเดียวทุกเครื่อง)

Firefox เลือกใช้วิธีอื่นคือสร้างเซอร์วิสของวินโดวส์มาทำงานแทน โดยจะรันอยู่เบื้องหลังในฐานะเซอร์วิสอีกตัวหนึ่ง และทำการอัพเดต Firefox ให้

Firefox บอกว่าเซอร์วิสตัวนี้ (ชื่อของมันคือ Mozilla Application Updater) จะเป็นองค์ประกอบที่ไม่บังคับว่าต้องใช้ (optional) ดังนั้นถ้าหากผู้ใช้เลือกปิดมันไป Firefox จะยังสามารถอัพเดตด้วยวิธีเดิม (ที่ต้องผ่าน UAC) ได้

นอกจากนี้ คนที่ลง Firefox หลาย channel ควบคู่กัน (เช่น Beta/Aurora) ก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเซอร์วิสจะเยอะจนเปลืองทรัพยากร เพราะใช้เซอร์วิสตัวเดียวกันได้หมดทุก channel

กระบวนการอัพเดตแบบใหม่จะเสร็จประมาณต้นปี 2012 หรือใช้กับ Firefox 10 เป็นรุ่นแรก

ข้อมูลจาก : blognone.com


การ restore ข้อมูลกลับของ iPad,iPhone ด้วย iCloud

|0 ความคิดเห็น
ในการ Update iOS ใหม่ หลายท่านอาจจะเลือก update ต่อจาก iOS เดิม หรืออาจจะเลือกการ restore iOS ซึ่งเปรียบเสมือนกับการฟอร์แมทเครื่องใหม่ ซึ่งหลังจากการ restore iOS เสร็จแล้ว เครื่องจะ restart เข้าสู่ Setup Assistant เพื่อตั้งค่าเครื่องใหม่


หรือในกรณีที่ใช้งานเครื่อง iPhone, iPad และ iPod touch แล้วเกิดทำข้อมูลสูญหาย ต้องการเรียกคืนข้อมูลที่ได้ back up ไว้บน iCloud กลับมาใหม่ ให้ไปที่ Setting เลือกที่ General > Reset > Reset All Settings เครื่องจะทำการลบข้อมูลทั้งหมด แล้ว Restart เข้าสู่การ Setup Assistant ต่อไป

เริ่มจากการตั้งค่าว่าจะใช้ Location Service หรือไม่ และเลือก Wi-Fi Networks ที่ใช้งาน

จากนั้นจะเข้าสู่การ Set Up iDevice ให้เลือกที่ Restore from iCloud Backup แล้วกรอก Apple ID และ Password จะปรากฏข้อความให้ยอมรับเงื่อนไขการใช้งาน ให้กด Agree เพื่อยอมรับการใช้งาน

เครื่องจะแสดงข้อมูล backup ล่าสุด เลือกไฟล์ Backup ที่ต้องการ แล้วกดปุ่ม Restore เครื่องจะทำการดึงเอาข้อมูลการตั้งค่า และ App data ต่างๆ จาก iCloud กลับมา โดย app, เพลง, หนังสือและภาพยนตร์ที่ซื้อจาก App Store และ iTune Store จะถูก download กลับมาใหม่ ส่วนเพลง, ภาพยนตร์ และสื่ออื่นๆ ที่ไม่ได้ back up บน iCloud สามารถ sync เข้าไปใหม่ภายหลังผ่าน iTunes 


จัดการ App ค้าง เครื่องค้างใน iPhone, iPad และ iPod touch

|0 ความคิดเห็น
iOS นับเป็นระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์พกพาที่ใช้งานได้อย่างราบรื่นและมีความเสถียรมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่ด้วย App ที่มีอยู่หลากหลาย และสภาพแวดล้อมในการใช้งานที่ต่างกันไป อาจทำให้นานๆ ครั้งอาจจะเกิดปัญหาทำให้เครื่องหน่วงมากๆ หรือเกิดอาการค้าง ซึ่งสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยวิธีการดังนี้ 

1. กรณีที่เครื่องยังไม่ค้าง สามารถปิดเครื่องและเปิดเครื่องใหม่ด้วยการกดที่ปุ่ม Sleep/Wake ที่อยู่ด้านบนขวาจนกระทั่งมีแถบ Slide to power off ขึ้นมา เลื่อนปุ่มสีแดงไปทางขวาเพื่อทำการปิดเครื่อง หลังจากนั้นกดที่ปุ่ม Sleep/Wake จนกระทั่งรูปโลโก้ Apple ปรากฏขึ้นมา 

2. กรณีที่เกิดใช้งานแล้ว App ค้าง ให้ทำการบังคับปิด App โดยการกดที่ปุ่ม Sleep/Wake ที่อยู่ด้านบนขวาจนกระทั่งมีแถบ Slide to power off ขึ้นมา ปล่อยปุ่ม Sleep/Wake แล้วกดที่ปุ่ม Home ค้างไว้จนกว่า App ปิดตัวเองเข้าสู่หน้า Home 

3. กรณีที่เครื่องค้างไม่ตอบสนองใดๆ เลย ให้ทำการ reset เครื่อง โดยกดที่ปุ่ม Sleep/Wake ที่อยู่ด้านบนขวา และปุ่ม Home พร้อมกันค้างไว้ประมาณ 10 วินาที จนกระทั่งรูปโลโก้ Apple ปรากฏขึ้นมา


ที่มา technology.thaiza.com

ไปที่หน้าแรก ข่าวไอที

บทความ IT ที่เกี่ยวข้อง